เมื่อวันเวลาเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน
ไม่เว้นแม้แต่ บ้านหรือคอนโดมิเนียม ของเรา
ที่ต้องขายไปเพื่อความเหมาะสมของพื้นที่ใช้สอย หรือ
ทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมของการทำงานหรือความสะดวกในการคมนาคม

ไม่
ว่าใครที่กำลังขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมย่อมต้องอยากขายบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ให้เร็วที่สุดและราคาดีที่สุดไปพร้อมๆ กัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรการขายบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นทำเลที่กำลังเป็นที่นิยมหรือ
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย
ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
แต่อีกสิ่งที่จะช่วยทำให้บ้านหรือคอนโดมิเนียมขายได้ราคา
และเป็นสิ่งที่สามารถลงมือทำเองได้คือ “การปรับปรุงซ่อมแซมก่อนขาย”
ที่หลายคนชอบมองข้ามเรื่องนี้ไป
ซึ่งคงไม่มีใครอยากจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีตำหนิหรือหากลูกค้าสนใจ
ก็จะถูกต่อรองจนราคาต่ำวันนี้ CMC Group
ขอแนะนำเทคนิคในการซ่อมแซมบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพื่อให้ขายได้ราคาดังนี้
1. สภาพภายนอกน่ามอง
ความประทับใจแรกของผู้มาซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมคือสภาพหน้าบ้านที่น่ามอง
ตรวจดูสภาพโดยรอบว่าสีภายนอกหลุดล่อนหรือซีดจนไม่น่ามองหรือไม่
ควรทาสีให้ใหม่และดูดี
เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ซื้อเมื่อเข้ามาชมบ้านหรือคอนโดมิเนียม
2. ปรับปรุงห้องครัว
นับว่าเป็นห้องที่มีการใช้งานหนักที่สุดของบ้านหรือคอนโดมิเนียมก็ว่าได้
เพราะทุกบ้านหรือคอนโดมิเนียมก็ต้องทำกับข้าว
เตรียมอาหารกันในห้องนี้ซึ่งต้องมีการเลอะเทอะหรือบางทีอาจจะมีกลิ่นไม่พึง
ประสงค์ติดอยู่ด้วย เช่น
คราบน้ำมันตามผนังหรือร่องรอยการชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งาน
ดังนั้นห้องครัวจึงเป็นอันดับต้นๆที่เจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียมควรปรับ
ปรุงให้อยู่ในสภาพการใช้งานที่ดี เช่น อ่างล้างจาน, ท่อระบายน้ำ เป็นต้น
3. ตกแต่งห้องน้ำ
ห้องน้ำเองก็ถือเป็นห้องสำคัญสำหรับสมาชิกภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ที่ต้องมีการใช้งานกันอยู่ทุกวัน
การตกแต่งห้องน้ำให้มีชีวิตชีวาและน่าใช้จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้สร้าง
ความประทับให้กับผู้ซื้อมากขึ้น แต่ควรเป็นการตกแต่งเล็กๆน้อยๆ
ให้ห้องน้ำดูไม่เก่าและจืดชืดจนเกินไป เช่น ทาสีให้ดูใหม่,
วางต้นไม้สีเขียว
หรือการวางน้ำยาดับกลิ่นไว้ในห้องน้ำก็จะช่วยให้ห้องน้ำมีชีวิตชีวามากยิ่ง
ขึ้น
4. เน้นซ่อม ไม่เน้นเปลี่ยน
หลายสิ่งในบ้านหรือคอนโดมิเนียมแม้จะมีสภาพทรุดโทรมไม่น่ามอง
แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการ “ซ่อม” ไม่ใช่การ “เปลี่ยน”
เพราะท่านแค่ต้องการซ่อมเพื่อให้มันดูดีเท่านั้น
แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนใหม่ที่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายขึ้นมา
เพราะดีไม่ดีแม้จะสามารถขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมได้ราคาสูงขึ้น
แต่ก็ยังได้กำไรน้อยอยู่ดีเพราะหมดไปกับค่าซ่อมแซมนั่นเอง
5.
ทิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุด บางคนอาจจะมองว่าไหนๆ
ก็จะขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมแล้ว
แถมเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆไปกับบ้านหรือคอนโดมิเนียมด้วยก็ไม่เสียหายอะไร
แต่จริงๆ แล้วนี่จะเป็นตัวกดราคาบ้านหรือคอนโดมิเนียมของให้ดูถูกลง
เพราะของชำรุดที่แทบใช้งานไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งที่เก็บไว้ใน
บ้าน
6. ตรวจสอบระบบประปา ไฟฟ้า
เป็นเรื่องพื้นฐานของบ้านหรือคอนโดมิเนียมทุกหลังที่ต้องมีการใช้งานไฟฟ้า
และประปา
และจะสังเกตุได้ว่าทุกครั้งที่ผู้ซื้อเข้ามาดูบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ก็มักจะเปิดไฟและเปิดก๊อกน้ำเพื่อทดสอบดูว่าใช้งานได้หรือไม่
ดังนั้นต้องมั่นใจว่าไฟฟ้าและประปายังใช้งานได้เสมอ และไม่มีเหตุขัดข้อง
เช่น ไฟไม่ติด, น้ำรั่ว หรือน้ำไม่ไหล
เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากซื้อบ้านที่ไฟเปิดไม่ติด
น้ำไม่ไหลหรือซื้อไปแล้วต้องคอยตามซ่อมแซมเอง
7.
อย่าแต่งบ้านให้มีเอกาลักษณ์เฉพาะตัวจนเกินไป
แม้จะชื่นชอบการแต่งบ้านในสไตล์ของตัวเองมากแค่ไหน
แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องขายบ้าน
ก็ต้องปรับเปลี่ยนบ้านให้อยู่ในสภาพกลางๆมากที่สุด เช่น
เดิมท่านแต่งบ้านในสไตล์ vintage หรือ country
แต่ผู้ซื้อบ้านอาจจะไม่ได้ชอบตามเสมอไป
บางคนอาจจะคิดว่าทำให้บ้านดูเก่าๆซีดๆ ไม่ได้ถูกใจมากเท่าไหร่นัก
ดังนั้นเมื่อท่านต้องขายบ้านทิ้ง
ก็ควรจะนำเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งออกไปด้วย
แม้จะมีว่าบ้านหลังหนึ่งต้องซ่อมแซมอย่างมากมายก่อนขายบ้าน
แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องคำนึงอยู่เสมอคือ
เงินทุกๆบาทที่เสียไปกับการซ่อมแซม
จะต้องสามารถเพิ่มเป็นราคาขายให้ได้มากที่สุด
และควรหาซ่อมด้วยงบที่น้อยที่สุด
เพื่อให้ได้มาซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด
และเมื่อนั้นจะทำให้ท่านสามารถขายบ้านได้เร็วขึ้นและได้ราคาที่มากขึ้นตามไป
ด้วยนั่นเอง
เรียบเรียง : ฤทธิ์ษณะ น้อยกมล
ข้อมูล : TerraBKK.com / google.co.th
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- เทคนิคซ่อมแซมบ้านหรือคอนโดมิเนียมก่อนขายให้ได้ราคาดี
- ข้อควรรู้เรื่องพื้นไม้
- เสริม “ฮวงจุ้ย” ห้องนอนลูกรัก
- The Cubitat กล่องสี่เหลี่ยมเอนกประสงค์
- เจาะลึก 8 กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก
- เลือกคอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้า ให้ถูกฮวงจุ้ย
- วางแผนระบบพลังงานภายในบ้าน สิ่งที่จำเป็นที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้า
- 5 Gadget สุดฮิตที่จะเนรมิตรบ้านให้เป็น Smart Home
- แก้ปัญหาพื้นที่เล็กๆบนคอนโด
- 9 จุด เตรียมบ้านรับหน้าฝน
- 5 ข้อห้ามลืม ออกแบบห้องน้ำแคบให้ดูกว้าง ใช้สะดวกสบาย
- วิธีการคำนวณค่าเช่าคอนโดเพื่อเพิ่มตอบแทน
- 6 วิธี ตกแต่งห้องน้ำให้สดใส มีชีวิตชีวา
- 10 ไอเท็มบนโต๊ะทำงานที่คุณควรจะมี
- 8 ยอดกลยุทธ์ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- วิธีการตรวจรับห้องคอนโด อย่างง่าย
- ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
สวัสดีค่ะ
วันนี้ไทยโฮมออนไลน์จะมาแนะนำ 5 คอนโดทำเลดี ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
ให้ทุกคนได้ตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยแบบราคาสบายๆ เดินทางสะดวก
และสามารถหิ้วกระเป๋าพร้อมเข้าอยู่ได้เลยค่ะ
1. ขายคอนโด ซาโตว์อินทาวน์เมเจอร์รัชโยธิน ขนาน 33 ตร.ม. ห้องใหม่ แต่งครบ ราคาขาย 2,000,000 บาท
คอน โด 1 ห้องนอน, 1 ห้องน้ำ ห้องสวย
น่าอยู่ บรรยากาศร่มรื่น
ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก มีระเบียงห้องไว้สำหรับรับลม
สบายใจรู้สึกปลอดภัยด้วยระบบ รปภ. ตลอด 24 ชม. ระเบียงไม่ติดกับใคร
เข้าออกโดยใช้ระบบคีย์การ์ด
ดูข้อมูลเพิ่มเติม
2. ขายคอนโด บี ยู โชคชัย 4 ซอย 8 ห่างถนนลาดพร้าวเพียง 600 เมตร เข้าออกได้หลายทาง สภาพดีน่าอยู่ ราคาขาย 1,250,000 บาท
ขาย คอนโด Be You Condo บี ยู โชคชัย 4
ซอย 8 โครงการมี 8 ชั้น 2 อาคาร AB อายุทรัพย์ประมาณ 4 ปี อยู่ชั้น 2
ตึก A ขนาด 29 ตารางเมตร ห้องสตูดิโอ พื้นไม้ลามิเนท
ห้องนํ้าติดตั้งชุดฝักบัวแบบRAIN เครื่องทํานํ้าอุ่น ห้องครัว
ติดตั้งเคาเตอร์ พร้อมตู้แขวนและตู้เก็บของ ห้องนอนมีเครื่องปรับอากาศ
ม่านและสลิมไลน์
ดูข้อมูลเพิ่มเติม
3. ขายคอนโด รีเจ้นท์โฮม 12 ลาดพร้าว 41 พร้อมเฟอร์นิเจอร์ ราคาขาย 1,450,000 บาท
คอน โด รีเจ้นท์โฮม 12 อาคาร A 31.28
ตรม. อยู่ชั้นที่6 ซ. ลาดพร้าว 41 มี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1
ห้องครัว 1 แอร์ ที่จอดรถ1 คัน เดินทางสะดวกออกจากปากซอยลาดพร้าว 41
เพียงประมาณ 600 เมตร
ดูข้อมูลเพิ่มเติม
4. ขายคอนโด จอนนี่ ทาวน์ ห้วยขวาง ย่านรัชดาภิเษก ขนาด 34 ตรม. ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ราคาขาย 1,650,000 บาท
ขาย คอนโดจอนนี่ ทาวน์ ห้วยขวาง
ย่านรัชดาภิเษก ขนาด 34 ตรม. ห้อง Studio อยู่ชั้น 4 แถมเฟอร์ทั้งหมด
และเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายในห้องสวย พร้อมเข้าอยู่
ที่สำคัญโครงการอยู่ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ห้วยขวาง สำนักงานเขตห้วยขวาง
เพียง 100 เมตร
ดูข้อมลเพิ่มเติม
5. ขายคอนโดLPN รามอินทรา-นวมินทร์ (ติดสถานีรถไฟฟ้าสีชมพู กม.8) ราคาขาย 1,370,000 บาท
ขาย คอนโด LPN กม.8 อาคาร D ชั้น 21
วิวสวยมาก (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) พร้อมผู้เช่า 6,000 บาท/เดือน
และเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 25 รายการ คุ้มทั้งอยู่เองหรือลงทุน
ดูข้อมูลเพิ่มเติม
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- รวม 5 คอนโดมือสอง ทำเลดี ราคาไม่เกิน 2 ล้าน
- เคล็ดลับง่ายๆ กำจัดกลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า
- เก๋สุดๆ กระเบื้องสามมิติ เทรนด์ใหม่แต่งบ้านหรู
- เจ๋งสุดๆ อัพไซส์ห้องรับแขกและห้องกินข้าว แบบไม่ต้องต่อเติมเพิ่ม
- ไอเดียการแต่งคอนโด สำหรับครอบครัว
- เทคนิคการเลือกโซฟา ในพื้นที่จำกัด
คนส่วนใหญ่เมื่อคิดจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กันมักเข้าใจว่ากลยุทธ์การลงทุน
จะมีเพียงแค่ซื้อมาขายไป
หรือไม่เช่นนั้นก็ซื้อเพื่อนำมาให้เช่าเพียงเท่านั้น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนทั่วโลกใช้กันอยู่
กลับมีอยู่มากมาย หลากหลายกว่าที่รับรู้ กันมาก
เอาเฉพาะในแบบที่สามารถประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้ ก็มีอยู่ถึง 8
กลยุทธ์ด้วยกัน กลยุทธ์แต่ละแบบ มีแนวคิด วิธีการเป็นเช่นไร
และเหมาะนำมาใช้เมื่อไหร่ ตอนไหน ในโอกาสนี้ ขอนำมาเจาะลึก
ให้ผู้อ่านได้เห็นอย่างทะลุปุโปร่ง ดังนี้
1.
ซื้อและถือไว้ (Buy and Hold)
เป็นกลยุทธ์ลงทุนเก่าแก่ที่นิยมทำกันมานานแล้ว
เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการปรับเพิ่มค่าของอสังหาริมทรัพย์
ด้วยการซื้อที่ดินเปล่าและถือเก็บรอเวลา
กฎกำปั้นทุบดินของบรรดาเซียนอสังหาฯเรียกกันว่า “กฎ 77”
นั่นคือให้ซื้ออย่างน้อย 7 แปลง และถือครอง 7 ปีขึ้นไป
แต่ก็มีกูรูบางคนแนะนำให้ซื้อถึง 10 แปลงก็มี
หลักคิดของกลยุทธ์แบบนี้ คือไม่เน้นขายอสังหาริมทรัพย์ทำกำไร
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขาย (Capital Gain Tax)
แต่จะเน้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเพิ่มค่าความเป็นเจ้าของ (Equity
Build-up) ไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า หรือในช่วงที่ต้องออกจากงาน
หรือบางคนก็ตั้งใจที่จะเก็บตกทอดเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลาน
ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ซื้อและถือไว้
อยู่ตรงที่ธนาคารมักไม่ปล่อยกู้ให้
เวลาลงทุนจึงต้องใช้เงินสดของตัวเองเป็นหลัก
ทั้งนี้กุญแจความสำเร็จของกลยุทธ์แบบนี้
ก็คือต้องพยายามทำกำไรให้ได้ตั้งแต่ตอนซื้อเลย
โดยหาทางซื้อให้ได้ในราคาต่ำกว่าตลาดตั้งแต่เริ่มแรก
ส่วนการเพิ่มค่าที่จะเกิดขึ้นตามมา
ให้ถือเป็นส่วนโบนัสที่พึงได้รับจากการถือครอง
2.
ซื้อเพื่อนำมาปล่อยเช่า(Buy to Rent)
ถือเป็นรูปแบบการลงทุนที่คนนิยมทำกันมากสุดในปัจจุบัน
ทั้งนี้ขณะที่กลยุทธ์ซื้อและถือไว้
เหมาะใช้กับอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า
แต่กลยุทธ์แบบซื้อมาปล่อยเช่านี้ จะเหมาะที่นำมาใช้กับบ้านและคอนโดฯ
เป็นสำคัญ
สาเหตุสำคัญ
ก็เพราะที่อยู่อาศัยคือปัจจัยสี่ที่จำเป็นหรับทุกคน
การปล่อยเช่าจะทำได้ง่าย และได้ค่าเช่าสูง จึงสามารถสร้างกระแสรายได้(Cash
Flows) ในรูปผลตอบแทนค่าเช่าแต่ละปี (Rental Yield)
ได้อย่างน่าพอใจเลยทีเดียว
3. ซื้อมาขายไป (Trading)
หรือภาษาลงทุนนิยมเรียกกันว่า “ฟลิป(Flip)”
เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในช่วงตลาดอสังหาริมทรัพย์ขาขึ้น (Rising
Real Estate Market) เป็นอย่างยิ่ง
วิธีการก็คือเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง
จากนั้นก็ให้รีบขายต่อให้ผู้อื่นเพื่อทำกำไรในที่สุด
กลยุทธ์แบบนี้ มักนิยมทำกันมาก กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่
ที่ยังไม่ได้สร้าง โดยเฉพาะโครงการประเภทคอนโดมิเนียม
เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มาก แถมตอนขายทำกำไร
ยังไม่ต้องเสียค่าโอนและภาษีอีกด้วย
แต่หากนำไปประยุกต์ใช้กับอสังหาฯ ที่สร้างเสร็จแล้วเมื่อไหร่
จะมีข้อจำกัดเกิดขึ้น นั่นคือจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องภาษีและค่าธรรมเนียม
และค่าใช้จ่ายในการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งจะส่งผลให้กำไรที่พึงได้ ถูกลิดรอนลง
เคล็ดลับอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้ขายง่ายและได้ราคาดีขึ้น
นั่นก็คือก่อนขายให้นำอสังหาฯ มาซ่อม ปรับปรุง ปะหน้าทาแป้งเล็กๆ น้อยๆ
ให้ดูดีเสียก่อน เช่นตัดหญ้า ทำความสะอาดพื้น จัดสวน หรือทาสี ฯลฯ
โดยเน้นทำในสิ่งเล็กๆ น้อยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
แต่สามารถอัพตัวอสังหาริมทรัพย์ให้ดูดีมากๆ ได้
แม้ปัจจุบันกลยุทธ์ฟลิป จะทำกันน้อยกว่ากลยุทธ์ซื้อมาปล่อยเช่าก็ตาม
แต่ก็มีแนวโน้มทวีบทบาทน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
ล่าสุดจากการสำรวจกลยุทธ์ลงทุนบ้านในสหรัฐฯ ในปี 2557 พบว่ากลยุทธ์ฟลิป
ขยายตัวในอัตราสูงมาก
4.
ชุบชีวิตอสังหาริมทรัพย์ขึ้นใหม่อีกครั้ง (Rejuvenations)
กลยุทธ์แบบนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับอสังหาริมทรัพย์เก่าที่
ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ทำเลดีๆ
โดยจะมีข้อจำกัดคล้ายกับการซื้อมาขายไปบ้านเก่า คือจะมีภาษี ค่าธรรมเนียม
และค่าใช้จ่ายในการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
กุญแจความสำเร็จของกลยุทธ์แบบนี้
ปกติจะขึ้นกับการชุบชีวิตบ้านให้กลับมาดูดีและสดใสใหม่
ซึ่งต้องทำให้ได้ในระยะเวลาสั้นสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปกติในสหรัฐฯ
จะใช้เวลาดำเนินการกันประมาณ 6 สัปดาห์
โดยทั่วไป
สิ่งที่ต้องทำกับบ้านที่ซื้อมา จะมากว่าการซ่อมแซม หรือปะหน้าทาแป้ง
แต่จะครอบคลุมไปถึงการปฏิสังขรณ์ (Renovate) ด้วย
ทั้งนี้ส่วนของบ้านที่นิยมเข้าไปยกเครื่องใหม่กัน ก็คือส่วนครัวและห้องน้ำ
ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญสุดที่คนใช้พิจารณาซื้อบ้านกัน
โดยส่วนใหญ่จะเน้นเปลี่ยนเครื่องใช้ในครัว และสุขภัณฑ์ใหม่ กันเป็นหลัก
แต่จะระวังไม่ก้าวล้ำไปเปลี่ยนแปลงในส่วนของโครงสร้าง หรือส่วนอื่นๆ
เพราะจะกระทบถึงต้นทุนและกำไรได้
5. รีไฟแนนซ์
(Refinance) คนส่วนใหญ่มักคิดกันว่าเป็นแค่เพียงกลยุทธ์ระดมทุนเท่านั้น
แต่ในแวดวงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จัดเป็นกลยุทธ์การลงทุนรูปแบบหนึ่ง
เพราะทำแล้วสามารถเพิ่มกระแสเงินสดไหลเข้า (Cash Inflows) ได้
ทั้งในรูปของรายจ่ายดอกเบี้ยที่น้อยลง และยังสามารถระดมเงินสดเข้ามาได้ด้วย
จริงๆ แล้ว กลยุทธ์รีไฟแนนซ์ สามารถทำได้ในหลายลักษณะ
ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นสำคัญ
สำหรับรูปแบบพื้นฐานที่นิยมทำกันมากสุด ก็คือการกู้หนี้ใหม่ดอกต่ำ
เพื่อไปโป๊ะใช้หนี้เดิมที่มีดอกสูงกว่า
ซึ่งจะส่งผลให้ประหยัดรายจ่ายดอกเบี้ยลงได้ในทันที
รีไฟแนนซ์
ยังสามารถประยุกต์ใช้เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ด้วย
ทั้งนี้หากพบว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตกำลังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
สิ่งที่ควรทำก็คือต้องรีบรีไฟแนนซ์เงินกู้ดอกเบี้ยลอยตัว(Floating Rate)
ให้ไปเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่(Fixed Rate) แทน
ซึ่งจะช่วยปกป้องผู้กู้จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เป็นอย่างดี
ในทางกลับกันหากพบว่าทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต กำลังมีแนวโน้มลดต่ำลง
สิ่งที่พึงกระทำก็คือต้องรีไฟแนนซ์เงินกู้จากดอกเบี้ยคงที่
มาเป็นแบบดอกเบี้ยลอยตัวแทน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้กู้ได้รับประโยชน์
หากดอกเบี้ยเกิดลดลงขึ้นมา
ในต่างประเทศ รีไฟแนนซ์
ยังสามารรถใช้เป็นกลยุทธ์ในการระดมทุนเป็นเงินสดได้ด้วย
โดยเฉพาะเมื่อกู้ยืมผ่านมาหลายๆ ปีแล้ว
จะส่งผลให้สามารถกู้ยืมสินเชื่อที่มีวงเงินสินเชื่อสูงขึ้นได้
6. ลงทุนกับสัญญาออปชั่น(Option) แนวคิดการลงทุนของกลยุทธ์แบบนี้
ก็คือวางเงินเข้าไปซื้อ “ลีส ออปชั่น(Lease Option)” หรือ
“สัญญาเช่าบ้านที่ผูกสิทธิในการซื้อบ้านไว้”
ซึ่งจะเป็นผลให้ได้สิทธิในการครอบครอง
พร้อมสิทธิในการซื้อบ้านตามราคาและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเงินค่าออปชั่นนี้
จะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าซื้อบ้านในอนาคตด้วย
เมื่อเข้าถือสิทธิออปชั่นได้แล้ว
ก่อนที่สัญญาจะครบกำหนดที่จะต้องไปโอนซื้อกันจริงๆ
ผู้ลงทุนก็จะนำไปขายต่อทำกำไร ให้กับผู้ซื้อรายอื่นต่อไป
7. สนับสนุนการเงินระยะเริ่มต้นให้ผู้ซื้อแทนธนาคาร(Wraps)
แนวคิดของกลยุทธ์ก็คือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ซื้อที่มีปัญหาใน
เรื่องเครดิต หรือขาดคุณสมบัติ ที่ไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้
โดยผู้ขายเข้ามาทำหน้าที่แทนแบงค์ในระยะเริ่มแรก ในลักษณะให้เช่าซื้อ
โดยคิดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารเล็กน้อย หลังจากผ่อนไประยะหนึ่งแล้ว
อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี ก็ค่อยให้ผู้ซื้อทำเรื่องขอกู้ซื้อจากธนาคารโดยตรง
กลยุทธ์แบบนี้ไม่ค่อยเห็นทำกันในบ้านเรา
ผู้สันทัดกรณีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะกลยุทธ์แบบนี้
ทำแล้วจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เนื่องจากในเมืองไทยเรา ระยะเวลา 3 ปี และ
5 ปี อาจไม่การันตีใดๆ ได้เลยว่าผู้ซื้อบ้านจะสามารถกู้ยืมธนาคารได้
เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้กู้ด้วย
8. ยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด (Foreclosures) ระบบนี้ นิยมทำกันมากในสหรัฐฯ
นั่นคือเจ้าของบ้านที่มีปัญหาและไม่สามารถผ่อนชำระคืนได้อีกต่อไป
ธนาคารจะนำมาขายทอดตลาดเพื่อหักกลบลบหนี้
ซึ่งการขายทอดตลาดนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่นักล่ากำไร(Bargain Hunters)
เพราะมีโอกาสพบเจอทรัพย์สินดีๆ ในราคาต่ำกว่าตลาดได้
ในบางประเทศ เจ้าของอสังหาฯ ที่มีปัญหา อาจเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดเอง
โดยโฆษณาตรงไปยังผู้ซื้อหรือนักลงทุนในหน้าหนังสือพิมพ์ ในลักษณะ
“ต้องรีบขาย” หรือ “จำเป็นต้องขาย” ผ่านวิธีประมูล
เพื่อให้ขายได้ราคาดีที่สุด
ในเมืองไทยเรา
บ้านที่ขายทอดตลาด ซึ่งดำเนินการผ่านกรมบังคับคดี มักไม่ค่อยพบเจอบ้านดี
ราคาถูกสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ซื้อมาแล้วมักมีปัญหา
เช่นบ้านทรุดโทรมมากกว่าที่ควรจะเป็น หรือเจ้าของเดิมไม่ยอมย้ายออก
ส่วนบ้านดีๆ ทำเลน่าสนใจ มักถูกชิงซื้อไปก่อนที่จะขายทอดตลาดแล้ว
กลยุทธ์แบบนี้ในบ้านเรา ที่ทำกันแล้ว ดูจะได้ผลดีมากที่สุด
ก็คือการขายอสังหาริมทรัพย์ที่หลุดขายฝาก ให้กับผู้สนใจในราคาต่ำกว่าตลาด
เพื่อทำกำไร
เรียบเรียง : ฤทธิ์ษณะ น้อยกมล
แหล่ข้อมูล : http://www.home.co.th
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- เจาะลึก 8 กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก
- เลือกคอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้า ให้ถูกฮวงจุ้ย
คนส่วนใหญ่เมื่อคิดจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กันมักเข้าใจว่ากลยุทธ์การลงทุน
จะมีเพียงแค่ซื้อมาขายไป
หรือไม่เช่นนั้นก็ซื้อเพื่อนำมาให้เช่าเพียงเท่านั้น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนทั่วโลกใช้กันอยู่
กลับมีอยู่มากมาย หลากหลายกว่าที่รับรู้ กันมาก
เอาเฉพาะในแบบที่สามารถประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้ ก็มีอยู่ถึง 8
กลยุทธ์ด้วยกัน กลยุทธ์แต่ละแบบ มีแนวคิด วิธีการเป็นเช่นไร
และเหมาะนำมาใช้เมื่อไหร่ ตอนไหน ในโอกาสนี้ ขอนำมาเจาะลึก
ให้ผู้อ่านได้เห็นอย่างทะลุปุโปร่ง ดังนี้
1.
ซื้อและถือไว้ (Buy and Hold)
เป็นกลยุทธ์ลงทุนเก่าแก่ที่นิยมทำกันมานานแล้ว
เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการปรับเพิ่มค่าของอสังหาริมทรัพย์
ด้วยการซื้อที่ดินเปล่าและถือเก็บรอเวลา
กฎกำปั้นทุบดินของบรรดาเซียนอสังหาฯเรียกกันว่า “กฎ 77”
นั่นคือให้ซื้ออย่างน้อย 7 แปลง และถือครอง 7 ปีขึ้นไป
แต่ก็มีกูรูบางคนแนะนำให้ซื้อถึง 10 แปลงก็มี
หลักคิดของกลยุทธ์แบบนี้ คือไม่เน้นขายอสังหาริมทรัพย์ทำกำไร
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขาย (Capital Gain Tax)
แต่จะเน้นเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเพิ่มค่าความเป็นเจ้าของ (Equity
Build-up) ไว้ใช้ในยามแก่เฒ่า หรือในช่วงที่ต้องออกจากงาน
หรือบางคนก็ตั้งใจที่จะเก็บตกทอดเป็นมรดกไว้ให้ลูกหลาน
ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ซื้อและถือไว้
อยู่ตรงที่ธนาคารมักไม่ปล่อยกู้ให้
เวลาลงทุนจึงต้องใช้เงินสดของตัวเองเป็นหลัก
ทั้งนี้กุญแจความสำเร็จของกลยุทธ์แบบนี้
ก็คือต้องพยายามทำกำไรให้ได้ตั้งแต่ตอนซื้อเลย
โดยหาทางซื้อให้ได้ในราคาต่ำกว่าตลาดตั้งแต่เริ่มแรก
ส่วนการเพิ่มค่าที่จะเกิดขึ้นตามมา
ให้ถือเป็นส่วนโบนัสที่พึงได้รับจากการถือครอง
2.
ซื้อเพื่อนำมาปล่อยเช่า(Buy to Rent)
ถือเป็นรูปแบบการลงทุนที่คนนิยมทำกันมากสุดในปัจจุบัน
ทั้งนี้ขณะที่กลยุทธ์ซื้อและถือไว้
เหมาะใช้กับอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเปล่า
แต่กลยุทธ์แบบซื้อมาปล่อยเช่านี้ จะเหมาะที่นำมาใช้กับบ้านและคอนโดฯ
เป็นสำคัญ
สาเหตุสำคัญ
ก็เพราะที่อยู่อาศัยคือปัจจัยสี่ที่จำเป็นหรับทุกคน
การปล่อยเช่าจะทำได้ง่าย และได้ค่าเช่าสูง จึงสามารถสร้างกระแสรายได้(Cash
Flows) ในรูปผลตอบแทนค่าเช่าแต่ละปี (Rental Yield)
ได้อย่างน่าพอใจเลยทีเดียว
3. ซื้อมาขายไป (Trading)
หรือภาษาลงทุนนิยมเรียกกันว่า “ฟลิป(Flip)”
เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในช่วงตลาดอสังหาริมทรัพย์ขาขึ้น (Rising
Real Estate Market) เป็นอย่างยิ่ง
วิธีการก็คือเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง
จากนั้นก็ให้รีบขายต่อให้ผู้อื่นเพื่อทำกำไรในที่สุด
กลยุทธ์แบบนี้ มักนิยมทำกันมาก กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายใหม่
ที่ยังไม่ได้สร้าง โดยเฉพาะโครงการประเภทคอนโดมิเนียม
เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มาก แถมตอนขายทำกำไร
ยังไม่ต้องเสียค่าโอนและภาษีอีกด้วย
แต่หากนำไปประยุกต์ใช้กับอสังหาฯ ที่สร้างเสร็จแล้วเมื่อไหร่
จะมีข้อจำกัดเกิดขึ้น นั่นคือจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องภาษีและค่าธรรมเนียม
และค่าใช้จ่ายในการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งจะส่งผลให้กำไรที่พึงได้ ถูกลิดรอนลง
เคล็ดลับอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้ขายง่ายและได้ราคาดีขึ้น
นั่นก็คือก่อนขายให้นำอสังหาฯ มาซ่อม ปรับปรุง ปะหน้าทาแป้งเล็กๆ น้อยๆ
ให้ดูดีเสียก่อน เช่นตัดหญ้า ทำความสะอาดพื้น จัดสวน หรือทาสี ฯลฯ
โดยเน้นทำในสิ่งเล็กๆ น้อยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
แต่สามารถอัพตัวอสังหาริมทรัพย์ให้ดูดีมากๆ ได้
แม้ปัจจุบันกลยุทธ์ฟลิป จะทำกันน้อยกว่ากลยุทธ์ซื้อมาปล่อยเช่าก็ตาม
แต่ก็มีแนวโน้มทวีบทบาทน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
ล่าสุดจากการสำรวจกลยุทธ์ลงทุนบ้านในสหรัฐฯ ในปี 2557 พบว่ากลยุทธ์ฟลิป
ขยายตัวในอัตราสูงมาก
4.
ชุบชีวิตอสังหาริมทรัพย์ขึ้นใหม่อีกครั้ง (Rejuvenations)
กลยุทธ์แบบนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับอสังหาริมทรัพย์เก่าที่
ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ทำเลดีๆ
โดยจะมีข้อจำกัดคล้ายกับการซื้อมาขายไปบ้านเก่า คือจะมีภาษี ค่าธรรมเนียม
และค่าใช้จ่ายในการถือครองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
กุญแจความสำเร็จของกลยุทธ์แบบนี้
ปกติจะขึ้นกับการชุบชีวิตบ้านให้กลับมาดูดีและสดใสใหม่
ซึ่งต้องทำให้ได้ในระยะเวลาสั้นสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปกติในสหรัฐฯ
จะใช้เวลาดำเนินการกันประมาณ 6 สัปดาห์
โดยทั่วไป
สิ่งที่ต้องทำกับบ้านที่ซื้อมา จะมากว่าการซ่อมแซม หรือปะหน้าทาแป้ง
แต่จะครอบคลุมไปถึงการปฏิสังขรณ์ (Renovate) ด้วย
ทั้งนี้ส่วนของบ้านที่นิยมเข้าไปยกเครื่องใหม่กัน ก็คือส่วนครัวและห้องน้ำ
ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญสุดที่คนใช้พิจารณาซื้อบ้านกัน
โดยส่วนใหญ่จะเน้นเปลี่ยนเครื่องใช้ในครัว และสุขภัณฑ์ใหม่ กันเป็นหลัก
แต่จะระวังไม่ก้าวล้ำไปเปลี่ยนแปลงในส่วนของโครงสร้าง หรือส่วนอื่นๆ
เพราะจะกระทบถึงต้นทุนและกำไรได้
5. รีไฟแนนซ์
(Refinance) คนส่วนใหญ่มักคิดกันว่าเป็นแค่เพียงกลยุทธ์ระดมทุนเท่านั้น
แต่ในแวดวงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จัดเป็นกลยุทธ์การลงทุนรูปแบบหนึ่ง
เพราะทำแล้วสามารถเพิ่มกระแสเงินสดไหลเข้า (Cash Inflows) ได้
ทั้งในรูปของรายจ่ายดอกเบี้ยที่น้อยลง และยังสามารถระดมเงินสดเข้ามาได้ด้วย
จริงๆ แล้ว กลยุทธ์รีไฟแนนซ์ สามารถทำได้ในหลายลักษณะ
ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นสำคัญ
สำหรับรูปแบบพื้นฐานที่นิยมทำกันมากสุด ก็คือการกู้หนี้ใหม่ดอกต่ำ
เพื่อไปโป๊ะใช้หนี้เดิมที่มีดอกสูงกว่า
ซึ่งจะส่งผลให้ประหยัดรายจ่ายดอกเบี้ยลงได้ในทันที
รีไฟแนนซ์
ยังสามารถประยุกต์ใช้เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้ด้วย
ทั้งนี้หากพบว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตกำลังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
สิ่งที่ควรทำก็คือต้องรีบรีไฟแนนซ์เงินกู้ดอกเบี้ยลอยตัว(Floating Rate)
ให้ไปเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่(Fixed Rate) แทน
ซึ่งจะช่วยปกป้องผู้กู้จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เป็นอย่างดี
ในทางกลับกันหากพบว่าทิศทางดอกเบี้ยในอนาคต กำลังมีแนวโน้มลดต่ำลง
สิ่งที่พึงกระทำก็คือต้องรีไฟแนนซ์เงินกู้จากดอกเบี้ยคงที่
มาเป็นแบบดอกเบี้ยลอยตัวแทน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้กู้ได้รับประโยชน์
หากดอกเบี้ยเกิดลดลงขึ้นมา
ในต่างประเทศ รีไฟแนนซ์
ยังสามารรถใช้เป็นกลยุทธ์ในการระดมทุนเป็นเงินสดได้ด้วย
โดยเฉพาะเมื่อกู้ยืมผ่านมาหลายๆ ปีแล้ว
จะส่งผลให้สามารถกู้ยืมสินเชื่อที่มีวงเงินสินเชื่อสูงขึ้นได้
6. ลงทุนกับสัญญาออปชั่น(Option) แนวคิดการลงทุนของกลยุทธ์แบบนี้
ก็คือวางเงินเข้าไปซื้อ “ลีส ออปชั่น(Lease Option)” หรือ
“สัญญาเช่าบ้านที่ผูกสิทธิในการซื้อบ้านไว้”
ซึ่งจะเป็นผลให้ได้สิทธิในการครอบครอง
พร้อมสิทธิในการซื้อบ้านตามราคาและระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเงินค่าออปชั่นนี้
จะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าซื้อบ้านในอนาคตด้วย
เมื่อเข้าถือสิทธิออปชั่นได้แล้ว
ก่อนที่สัญญาจะครบกำหนดที่จะต้องไปโอนซื้อกันจริงๆ
ผู้ลงทุนก็จะนำไปขายต่อทำกำไร ให้กับผู้ซื้อรายอื่นต่อไป
7. สนับสนุนการเงินระยะเริ่มต้นให้ผู้ซื้อแทนธนาคาร(Wraps)
แนวคิดของกลยุทธ์ก็คือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ซื้อที่มีปัญหาใน
เรื่องเครดิต หรือขาดคุณสมบัติ ที่ไม่สามารถกู้ซื้อบ้านได้
โดยผู้ขายเข้ามาทำหน้าที่แทนแบงค์ในระยะเริ่มแรก ในลักษณะให้เช่าซื้อ
โดยคิดอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารเล็กน้อย หลังจากผ่อนไประยะหนึ่งแล้ว
อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี ก็ค่อยให้ผู้ซื้อทำเรื่องขอกู้ซื้อจากธนาคารโดยตรง
กลยุทธ์แบบนี้ไม่ค่อยเห็นทำกันในบ้านเรา
ผู้สันทัดกรณีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะกลยุทธ์แบบนี้
ทำแล้วจะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เนื่องจากในเมืองไทยเรา ระยะเวลา 3 ปี และ
5 ปี อาจไม่การันตีใดๆ ได้เลยว่าผู้ซื้อบ้านจะสามารถกู้ยืมธนาคารได้
เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้กู้ด้วย
8. ยึดทรัพย์สินขายทอดตลาด (Foreclosures) ระบบนี้ นิยมทำกันมากในสหรัฐฯ
นั่นคือเจ้าของบ้านที่มีปัญหาและไม่สามารถผ่อนชำระคืนได้อีกต่อไป
ธนาคารจะนำมาขายทอดตลาดเพื่อหักกลบลบหนี้
ซึ่งการขายทอดตลาดนี้ได้รับความนิยมมากในหมู่นักล่ากำไร(Bargain Hunters)
เพราะมีโอกาสพบเจอทรัพย์สินดีๆ ในราคาต่ำกว่าตลาดได้
ในบางประเทศ เจ้าของอสังหาฯ ที่มีปัญหา อาจเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดเอง
โดยโฆษณาตรงไปยังผู้ซื้อหรือนักลงทุนในหน้าหนังสือพิมพ์ ในลักษณะ
“ต้องรีบขาย” หรือ “จำเป็นต้องขาย” ผ่านวิธีประมูล
เพื่อให้ขายได้ราคาดีที่สุด
ในเมืองไทยเรา
บ้านที่ขายทอดตลาด ซึ่งดำเนินการผ่านกรมบังคับคดี มักไม่ค่อยพบเจอบ้านดี
ราคาถูกสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ซื้อมาแล้วมักมีปัญหา
เช่นบ้านทรุดโทรมมากกว่าที่ควรจะเป็น หรือเจ้าของเดิมไม่ยอมย้ายออก
ส่วนบ้านดีๆ ทำเลน่าสนใจ มักถูกชิงซื้อไปก่อนที่จะขายทอดตลาดแล้ว
กลยุทธ์แบบนี้ในบ้านเรา ที่ทำกันแล้ว ดูจะได้ผลดีมากที่สุด
ก็คือการขายอสังหาริมทรัพย์ที่หลุดขายฝาก ให้กับผู้สนใจในราคาต่ำกว่าตลาด
เพื่อทำกำไร
เรียบเรียง : ฤทธิ์ษณะ น้อยกมล
แหล่ข้อมูล : http://www.home.co.th
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- เจาะลึก 8 กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก
- เลือกคอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้า ให้ถูกฮวงจุ้ย - วางแผนระบบพลังงานภายในบ้าน สิ่งที่จำเป็นที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้า
- 5 Gadget สุดฮิตที่จะเนรมิตรบ้านให้เป็น Smart Home
- แก้ปัญหาพื้นที่เล็กๆบนคอนโด
- 9 จุด เตรียมบ้านรับหน้าฝน
- 5 ข้อห้ามลืม ออกแบบห้องน้ำแคบให้ดูกว้าง ใช้สะดวกสบาย
- วิธีการคำนวณค่าเช่าคอนโดเพื่อเพิ่มตอบแทน
- 6 วิธี ตกแต่งห้องน้ำให้สดใส มีชีวิตชีวา
- 10 ไอเท็มบนโต๊ะทำงานที่คุณควรจะมี
- 8 ยอดกลยุทธ์ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- วิธีการตรวจรับห้องคอนโด อย่างง่าย
- ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
- ผ่อนสั้นหรือผ่อนยาว สำหรับซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม อันไหนดีกว่ากัน
- สวนกระถาง สวนเล็กๆ ในบ้านให้ความสดใสให้กับชีวิต
- 10 ค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำหรับการซื้อบ้านและคอนโด