ปัจจุบัน กระจก มีส่วนสำคัญในการออกแบบ สำนักงาน
บ้าน ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม กระจกไม่เพียงแค่เป็นตัวเสริมให้สำนักงาน
บ้าน ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ให้ดูหรูมีมูลค่าเท่านั้น แต่ยังให้
ความรู้สึกถึงความโปร่ง ความสบาย ไม่อึดอัด
และกระจกให้เลือกหลายรูปแบบบให้เหมาะกับการใช้งาน วันนี้ CMC Group
รวบรวมกระจกประเภทต่างๆ ที่เหมาะกับ สำนักงาน บ้าน ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม
ดังนี้
1. กระจกแผ่น เป็นกระจกที่เราเห็นทั่วไป
ไม่มีความซับซ้อน และมีความแข็งแรงต่ำ ฟองอากาศมาก
ผิวกระจกเป็นรอยขูดขีดได้ง่าย เป็นรอยขูดขีด ผิวค่อนข้างขรุขระ เป็นคลื่น
อาจจะมีบิดเบี้ยวบ้าง การนำไปใช้ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะ เป็นกรอบรูป
กระจกเงา และกระจกที่ใช้สำหรับเครื่องเรือน

2. กระจกโฟลต (Float Glass) เป็นกระจกที่มีความโปร่งแสงสูง ผิวเรียบสนิท
การสะท้อนสามารถทำได้ดี ฟองอากาศน้อยกว่า Sheet Glass
การจัดเรียงของโมเลกุลภายในเนื้อกระจกทำได้ดีกว่าทำให้มีความแข็งแรงกว่า
กระจก Float จึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือป็นรอยขูดขีด ผิวค่อนข้างขรุขระ
เป็นคลื่น อาจจะมีบิดเบี้ยวบ้าง การนำไปใช้ส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะ
เป็นกรอบรูป กระจกเงา และกระจกที่ใช้สำหรับเครื่องเรือนน (Sheet Glass)
เป็นกระจกที่พบเห็นทั่วไป ไม่มีความซับซ้อน และมีความแข็งแรงต่ำ
ฟองอากาศมาก ผิวกระจกเป็นรอยขูดขีดได้ง่าย
กระจกโฟลตใส
(Clear Float Glass) เป็นกระจกที่เกิดจากการหลอมของซิลิก้าสารประกอบต่างๆ
กระจกประเภทนี้จะทำให้มีรอยต่อระหว่างกระจกน้อย
สามารถนำไปใช้งานได้กับผนังภายนอก ผนังภายในอาคารได้ Clear Float Glass
เหมาะกับการใช้งานประเภทแสดงสินค้า
แต่อาจไม่เหมาะกับส่วนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
กระจกสี
(Tinted Float Glass)
มีการผสมออกไซด์ในเนื้อกระจกเพื่อให้เกิดสีสันแตกต่างกันไป เกิดความสวยงาม
ช่วยลดความจ้าของแสงที่ส่งผ่านกระจกสีทำให้ได้แสงที่นุ่มนวลและเกิดความสบาย
ตาในการมอง
แต่ออกไซด์ที่ใส่เข้าไปจะอมความร้อนจึงแตกได้ง่ายสีของกระจกยังสามารถช่วย
ตัดแสงที่จะส่องเข้ามาในตัวอาคาร
ทำให้ประหยัดพลังงานภายในอาคารจึงเหมาะกับงานภายนอก

3. กระจกกึ่งนิรภัย (Heat Strengthened Glass) เป็นการนำกระจก Clear Float
Glass มาผ่านกระบวนการอบความร้อนและทำให้เย็นอย่างช้าๆ
เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของผิวกระจกและสามารถรับแรงได้มากกว่า 2-3 เท่า
และเมื่อกระจกแตกจะมีลักษณะเป็นปากฉลามยึดติดอยู่กับกรอบไม่ร่วงหล่นเหมือน
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Safety Glass) จึงนิยมใช้ในการทำผนังภายนอก
4. กระจกนิรภัยเทมเปอร์ (Tempered Glass) มีการผลิตจากกระจก Clear Float
Glass แล้วนำมาอบความร้อนอีกครั้ง
แล้วทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วโดยการเป่าลมเย็นทั้ง 2 ด้าน
สามารถรับแรงได้มากกว่าถึง10 เท่า และยังสามารถดัดได้มากกว่าถึง 3 เท่า
สามารถรับแรงอัดของลมได้ดี
แต่ไม่สามารถทำการตัดหรือเจาะได้เนื่องจากทนต่อแรง Point Load ได้น้อย
เมื่อแตกจะเป็นเม็ดเล็กคล้ายเมล็ดข้าวโพดและร่วงหล่นออกมาจากกรอบทั้งหมด
เหมาะกับงาน ประตูกระจก ผนังกั้นอาบน้ำ (Shower Box) ผนังภายนอกอาคารสูงๆ
และเหมาะสำหรับใช้งานในสภาพที่เสี่ยงต่อการกระทบกระแทก

5. กระจกเคลือบผิว หรือกระจกสะท้อนแสง (Surface coated glass)
เป็นการนำกระจก Clear Float Glass ไปปรับปรุงผิวด้วยการเคลือบออกไซด์
กระจกประเภทนี้จะมีความเงามันวาวกระจกในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยกระจก 2
ชนิดได้แก่
กระจกสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ (Solar
Reflective Glass)
เป็นกระจกเคลือบผิวออกไซด์ความโปร่งแสงต่ำคนภายนอกมองเข้ามาภายในลำบาก
แต่คนภายในมองออกภายนอกได้ชัด
สามารถสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ที่จะผ่านเข้าสู่อาคารได้ประมาณ 30%
เป็นการลดภาระของระบบปรับอากาศ มักนิยมใช้กระจกประเภทนี้กับผนังภายนอกอาคาร
กระจกแผ่รังสีต่ำ (Low-E Glass) คล้ายกับ Solar Reflective Glass
โลหะที่ใช้เคลือบจะมีโลหะเงินบริสุทธิ์ช่วยให้สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี
ลดปัญหาเรื่องกระจกแตกร้าวได้ดีกว่า Solar Reflective Glass แต่ Low-E
ตัดแสงได้น้อยกว่า

6. กระจกฉนวนความร้อน (Insulating Glass Units) คือ เป็นกระจกตั้งแต่ 2
แผ่นขึ้นไปมาประกบกัน โดยมี Aluminium Spacer
ซึ่งบรรจุสารดูดความชื้นแล้วใส่ฉนวน เช่น อากาศแห้ง (Dried Air) หรือ
ก๊าซเฉื่อย ไว้ภายในเพื่อให้มีคุณสมบัติในการเก็บรักษาอุณภูมิภายในได้ดีมาก
(สามารถสะท้อนความร้อนได้ประมาณ 95%-98%) และไม่ทำให้เกิดฝ้าหรือหยดน้ำ
แม้ว่าอุณหภูมิภายในกับภายนอกแตกต่างกันมาก
การนำไปใช้งาน-กระจกประเภทนี้จะมุ่งเน้นการใช้งานไปในแนวทางการประหยัด
พลังงานภายในอาคารและการใช้งานสำหรับอาคารเฉพาะทางเนื่องจากมีคุณสมบัติ คือ
การยอมให้แสงผ่านเข้ามาภายในอาคารมากแต่ความร้อนที่จะผ่านกระจกเข้ามาน้อย
มากจึงมักนิยมใช้สำหรับอาคารที่ต้องการควบคุมอุณภูมิให้คงที่ตลอดเวลาเช่น
พิพิธภัณฑ์อาคารเก็บอาหารห้องเก็บไวน์เป็นต้น
7.
กระจกนิรภัยหลายชั้น (Laminated Safety Glass) คือ
กระจกที่ประกอบไปด้วยกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไปเช่นกัน มาประกบหรือติดด้วย
PVB (Poly Vinyl Butyral) กระจกจะติดกับ PVB ไม่ร่วงหล่นจากกรอบ Laminated
Safety Glass จึงเหมาะกับ ผนังภายนอกอาคารสูง ราวกันตก เป็นต้น
ผู้ออกแบบสามารถเลือกชนิดของกระจกที่จะนำมาประกอบกันเพื่อให้ได้คุณสมบัติใน
การลดความร้อนจากภายนอกอาคารที่จะเข้าสู่ภายในอาคารได้ตามต้องการ
กระจกแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป
เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานทำให้การอยู่อาศัยดูไม่ร้อน และปลอดภัย
มากยิ่งขึ้น ครับ
เรียบเรียง : ฤทธิ์ษณะ น้อยกมล
แหล่งข้อมูล : terrabkk.com,google.co.th
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- 7 ประเภทกระจกของอาคารชุด ที่ควรรู้
- วิธีเดินสายไฟ ให้กลายเป็นงานศิลปะตกแต่งบ้าน
- วีธีเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม สำหรับสาวโสด
- เทคนิคซ่อมแซมบ้านหรือคอนโดมิเนียมก่อนขายให้ได้ราคาดี
- ข้อควรรู้เรื่องพื้นไม้
- เสริม “ฮวงจุ้ย” ห้องนอนลูกรัก
- The Cubitat กล่องสี่เหลี่ยมเอนกประสงค์
- เจาะลึก 8 กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก
- เลือกคอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้า ให้ถูกฮวงจุ้ย
- วางแผนระบบพลังงานภายในบ้าน สิ่งที่จำเป็นที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้า
- 5 Gadget สุดฮิตที่จะเนรมิตรบ้านให้เป็น Smart Home
- แก้ปัญหาพื้นที่เล็กๆบนคอนโด
- 9 จุด เตรียมบ้านรับหน้าฝน
- 5 ข้อห้ามลืม ออกแบบห้องน้ำแคบให้ดูกว้าง ใช้สะดวกสบาย
- วิธีการคำนวณค่าเช่าคอนโดเพื่อเพิ่มตอบแทน
- 6 วิธี ตกแต่งห้องน้ำให้สดใส มีชีวิตชีวา
- 10 ไอเท็มบนโต๊ะทำงานที่คุณควรจะมี
- 8 ยอดกลยุทธ์ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- วิธีการตรวจรับห้องคอนโด อย่างง่าย
- ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง
เมื่อวันเวลาเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน
ไม่เว้นแม้แต่ บ้านหรือคอนโดมิเนียม ของเรา
ที่ต้องขายไปเพื่อความเหมาะสมของพื้นที่ใช้สอย หรือ
ทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมของการทำงานหรือความสะดวกในการคมนาคม

ไม่
ว่าใครที่กำลังขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมย่อมต้องอยากขายบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ให้เร็วที่สุดและราคาดีที่สุดไปพร้อมๆ กัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรการขายบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นทำเลที่กำลังเป็นที่นิยมหรือ
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย
ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
แต่อีกสิ่งที่จะช่วยทำให้บ้านหรือคอนโดมิเนียมขายได้ราคา
และเป็นสิ่งที่สามารถลงมือทำเองได้คือ “การปรับปรุงซ่อมแซมก่อนขาย”
ที่หลายคนชอบมองข้ามเรื่องนี้ไป
ซึ่งคงไม่มีใครอยากจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีตำหนิหรือหากลูกค้าสนใจ
ก็จะถูกต่อรองจนราคาต่ำวันนี้ CMC Group
ขอแนะนำเทคนิคในการซ่อมแซมบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพื่อให้ขายได้ราคาดังนี้
1. สภาพภายนอกน่ามอง
ความประทับใจแรกของผู้มาซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมคือสภาพหน้าบ้านที่น่ามอง
ตรวจดูสภาพโดยรอบว่าสีภายนอกหลุดล่อนหรือซีดจนไม่น่ามองหรือไม่
ควรทาสีให้ใหม่และดูดี
เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ซื้อเมื่อเข้ามาชมบ้านหรือคอนโดมิเนียม
2. ปรับปรุงห้องครัว
นับว่าเป็นห้องที่มีการใช้งานหนักที่สุดของบ้านหรือคอนโดมิเนียมก็ว่าได้
เพราะทุกบ้านหรือคอนโดมิเนียมก็ต้องทำกับข้าว
เตรียมอาหารกันในห้องนี้ซึ่งต้องมีการเลอะเทอะหรือบางทีอาจจะมีกลิ่นไม่พึง
ประสงค์ติดอยู่ด้วย เช่น
คราบน้ำมันตามผนังหรือร่องรอยการชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งาน
ดังนั้นห้องครัวจึงเป็นอันดับต้นๆที่เจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียมควรปรับ
ปรุงให้อยู่ในสภาพการใช้งานที่ดี เช่น อ่างล้างจาน, ท่อระบายน้ำ เป็นต้น
3. ตกแต่งห้องน้ำ
ห้องน้ำเองก็ถือเป็นห้องสำคัญสำหรับสมาชิกภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ที่ต้องมีการใช้งานกันอยู่ทุกวัน
การตกแต่งห้องน้ำให้มีชีวิตชีวาและน่าใช้จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยให้สร้าง
ความประทับให้กับผู้ซื้อมากขึ้น แต่ควรเป็นการตกแต่งเล็กๆน้อยๆ
ให้ห้องน้ำดูไม่เก่าและจืดชืดจนเกินไป เช่น ทาสีให้ดูใหม่,
วางต้นไม้สีเขียว
หรือการวางน้ำยาดับกลิ่นไว้ในห้องน้ำก็จะช่วยให้ห้องน้ำมีชีวิตชีวามากยิ่ง
ขึ้น
4. เน้นซ่อม ไม่เน้นเปลี่ยน
หลายสิ่งในบ้านหรือคอนโดมิเนียมแม้จะมีสภาพทรุดโทรมไม่น่ามอง
แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการ “ซ่อม” ไม่ใช่การ “เปลี่ยน”
เพราะท่านแค่ต้องการซ่อมเพื่อให้มันดูดีเท่านั้น
แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนใหม่ที่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายขึ้นมา
เพราะดีไม่ดีแม้จะสามารถขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมได้ราคาสูงขึ้น
แต่ก็ยังได้กำไรน้อยอยู่ดีเพราะหมดไปกับค่าซ่อมแซมนั่นเอง
5.
ทิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุด บางคนอาจจะมองว่าไหนๆ
ก็จะขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมแล้ว
แถมเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆไปกับบ้านหรือคอนโดมิเนียมด้วยก็ไม่เสียหายอะไร
แต่จริงๆ แล้วนี่จะเป็นตัวกดราคาบ้านหรือคอนโดมิเนียมของให้ดูถูกลง
เพราะของชำรุดที่แทบใช้งานไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งที่เก็บไว้ใน
บ้าน
6. ตรวจสอบระบบประปา ไฟฟ้า
เป็นเรื่องพื้นฐานของบ้านหรือคอนโดมิเนียมทุกหลังที่ต้องมีการใช้งานไฟฟ้า
และประปา
และจะสังเกตุได้ว่าทุกครั้งที่ผู้ซื้อเข้ามาดูบ้านหรือคอนโดมิเนียม
ก็มักจะเปิดไฟและเปิดก๊อกน้ำเพื่อทดสอบดูว่าใช้งานได้หรือไม่
ดังนั้นต้องมั่นใจว่าไฟฟ้าและประปายังใช้งานได้เสมอ และไม่มีเหตุขัดข้อง
เช่น ไฟไม่ติด, น้ำรั่ว หรือน้ำไม่ไหล
เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากซื้อบ้านที่ไฟเปิดไม่ติด
น้ำไม่ไหลหรือซื้อไปแล้วต้องคอยตามซ่อมแซมเอง
7.
อย่าแต่งบ้านให้มีเอกาลักษณ์เฉพาะตัวจนเกินไป
แม้จะชื่นชอบการแต่งบ้านในสไตล์ของตัวเองมากแค่ไหน
แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องขายบ้าน
ก็ต้องปรับเปลี่ยนบ้านให้อยู่ในสภาพกลางๆมากที่สุด เช่น
เดิมท่านแต่งบ้านในสไตล์ vintage หรือ country
แต่ผู้ซื้อบ้านอาจจะไม่ได้ชอบตามเสมอไป
บางคนอาจจะคิดว่าทำให้บ้านดูเก่าๆซีดๆ ไม่ได้ถูกใจมากเท่าไหร่นัก
ดังนั้นเมื่อท่านต้องขายบ้านทิ้ง
ก็ควรจะนำเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งออกไปด้วย
แม้จะมีว่าบ้านหลังหนึ่งต้องซ่อมแซมอย่างมากมายก่อนขายบ้าน
แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องคำนึงอยู่เสมอคือ
เงินทุกๆบาทที่เสียไปกับการซ่อมแซม
จะต้องสามารถเพิ่มเป็นราคาขายให้ได้มากที่สุด
และควรหาซ่อมด้วยงบที่น้อยที่สุด
เพื่อให้ได้มาซึ่งราคาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด
และเมื่อนั้นจะทำให้ท่านสามารถขายบ้านได้เร็วขึ้นและได้ราคาที่มากขึ้นตามไป
ด้วยนั่นเอง
เรียบเรียง : ฤทธิ์ษณะ น้อยกมล
ข้อมูล : TerraBKK.com / google.co.th
บทความอื่นๆน่าสนใจ
- เทคนิคซ่อมแซมบ้านหรือคอนโดมิเนียมก่อนขายให้ได้ราคาดี
- ข้อควรรู้เรื่องพื้นไม้
- เสริม “ฮวงจุ้ย” ห้องนอนลูกรัก
- The Cubitat กล่องสี่เหลี่ยมเอนกประสงค์
- เจาะลึก 8 กลยุทธ์ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ฮ็อตฮิตของโลก
- เลือกคอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้า ให้ถูกฮวงจุ้ย
- วางแผนระบบพลังงานภายในบ้าน สิ่งที่จำเป็นที่ต้องจัดเตรียมล่วงหน้า
- 5 Gadget สุดฮิตที่จะเนรมิตรบ้านให้เป็น Smart Home
- แก้ปัญหาพื้นที่เล็กๆบนคอนโด
- 9 จุด เตรียมบ้านรับหน้าฝน
- 5 ข้อห้ามลืม ออกแบบห้องน้ำแคบให้ดูกว้าง ใช้สะดวกสบาย
- วิธีการคำนวณค่าเช่าคอนโดเพื่อเพิ่มตอบแทน
- 6 วิธี ตกแต่งห้องน้ำให้สดใส มีชีวิตชีวา
- 10 ไอเท็มบนโต๊ะทำงานที่คุณควรจะมี
- 8 ยอดกลยุทธ์ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- วิธีการตรวจรับห้องคอนโด อย่างง่าย
- ทุกวันนี้เราต้องเสียภาษีอะไรกันบ้าง